หลายคนที่เลี้ยงสุนัขอาจสงสัยว่า อาหารสุนัขยี่ห้อไหนดี ที่จะทั้งถูกใจน้องหมาและดีต่อสุขภาพของเขา ปัจจุบันมียี่ห้ออาหารหมาให้เลือกมากมาย ตั้งแต่สูตรทั่วไปจนถึงสูตรเฉพาะตามสายพันธุ์และช่วงวัย การจะตอบว่าอาหารยี่ห้อไหนดีที่สุดจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของสุนัขแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ ขนาด อายุ หรือแม้แต่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของน้องหมา บทความนี้จะเป็นคู่มือที่ช่วยเจ้าของสุนัขเลือกอาหารหลักที่เหมาะสม โดยครอบคลุมทั้งวิธีเลือกอาหารตามไลฟ์สไตล์ของสุนัขแต่ละแบบ การเลือกสูตรอาหารตามช่วงวัย การเปรียบเทียบประเภทอาหารสุนัข (อาหารเม็ดสุนัข, อาหารเปียก และอาหารสด) ตลอดจนเทคนิคการอ่านฉลากอาหารสุนัขแบบเข้าใจง่าย และวิธีสลับเปลี่ยนอาหารอย่างปลอดภัยเพื่อสุขภาพที่ดีของน้องหมา นอกจากนี้ ในช่วงท้ายเราจะแนะนำการดูแลเสริมสุขภาพสุนัขด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอย่าง VF+ Core จาก VetSynova ที่ช่วยบำรุงสุขภาพของสุนัขในด้านต่าง ๆ ด้วย

เลือกอาหารให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และสายพันธุ์ของน้องหมา

ความต้องการทางโภชนาการของสุนัขแตกต่างกันตามสายพันธุ์และรูปแบบการดำเนินชีวิต ดังนั้นเจ้าของควรพิจารณาปัจจัยทางด้านสรีรวิทยาและพฤติกรรมของสุนัข เพื่อเลือกอาหารหลักที่ตอบโจทย์ได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างต่อไปนี้:

สุนัขสายพันธุ์เล็กที่อยู่ในคอนโด มีนิสัยเลือกกิน

สุนัขพันธุ์เล็กที่เลี้ยงในคอนโดหรือพื้นที่จำกัด มักมีกิจกรรมค่อนข้างน้อย และบางตัวมีนิสัยเลือกกินหรือกินยาก ควรเลือกอาหารที่ตอบโจทย์ทั้งขนาดเม็ดและคุณค่าทางโภชนาการ โดยอาหารเม็ดสำหรับสุนัขพันธุ์เล็กควรมีขนาดเล็ก เคี้ยวง่าย และให้พลังงานสูงเพียงพอต่อการเผาผลาญที่รวดเร็วของพวกเขา นั่นคือ แม้กินไม่เยอะก็ยังได้รับสารอาหารครบถ้วน นอกจากนี้การเลือกสูตรที่มีรสชาติชวนกินหรือผสมอาหารเปียกเล็กน้อยก็อาจช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ อย่างไรก็ตามควรจำกัดปริมาณอาหารเปียกและขนมเสริม ไม่ให้มากเกินไปจนสุนัขติดรสชาติและไม่ยอมกินอาหารเม็ด เพราะการเคี้ยวอาหารเม็ดมีประโยชน์ช่วยขัดฟัน ลดการเกิดคราบหินปูนได้ดีกว่าอาหารเปียกซึ่งทำให้ฟันสกปรกง่ายกว่า หากน้องหมาพันธุ์เล็กมีนิสัยกินยาก เจ้าของควรกำหนดเวลาให้อาหารเป็นเวลา และหลีกเลี่ยงการแบ่งอาหารคนให้สุนัขบ่อย ๆ เพื่อสร้างวินัยการกินที่ดี

สุนัขที่มีความต้องการพลังงานสูง

สุนัขในกลุ่มที่ใช้พลังงานมาก เช่น สุนัขสายพันธุ์ใหญ่สำหรับเฝ้าบ้าน สุนัขกู้ภัย หรือสุนัขที่มีกิจกรรมกลางแจ้งและชอบออกกำลังกาย จำเป็นต้องได้รับอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการพลังงานของร่างกาย เนื่องจากสุนัขกลุ่มนี้มักเผาผลาญพลังงานสูงกว่าและต้องการสารอาหารเพื่อเสริมสร้างพลังงานสำหรับกิจกรรมประจำวัน

โดยอาหารที่เหมาะสมควรมีปริมาณโปรตีนและไขมันเพียงพอ เพื่อเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ใช้งานหนัก โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ใหญ่ ควรใส่ใจคุณค่าทางโภชนาการที่สมดุล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือมีปัญหาข้อต่อในระยะยาว นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ใหญ่เฝ้าบ้านหรือสุนัขทำงานควรได้รับอาหารสูตรเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อการเจริญเติบโตและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น สุนัข Large Breed ควรได้รับอาหารที่มีสารบำรุงข้อต่อเสริม หรือสุนัขทำงานควรได้อาหารสูตร Active/Performance ที่ให้พลังงานเข้มข้น โดยเจ้าของควรแบ่งมื้ออาหารให้เหมาะสม ไม่ให้น้องหมาหิวโซหรือกินอิ่มเกินไปในมื้อเดียว เพื่อป้องกันปัญหากระเพาะบิดหรือการย่อยอาหารที่ผิดปกติ

สุนัขสูงวัย หรือสุนัขป่วยที่อยู่ในช่วงพักฟื้น

สุนัขที่มีอายุมาก (ประมาณ 7 ปีขึ้นไป) หรือสุนัขที่กำลังพักฟื้นจากอาการป่วยหรือผ่าตัด มีความต้องการทางโภชนาการเฉพาะที่แตกต่างจากสุนัขโตแข็งแรงทั่วไป สำหรับสุนัขสูงวัย ควรเลือกอาหารสูตร Senior ที่ย่อยง่าย มีโปรตีนคุณภาพสูงแต่ไขมันและแคลอรีไม่มากเกินไป เพื่อป้องกันปัญหาน้ำหนักเกินและช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยอาหารสำหรับวัยสูงอายุควรเสริมสารอาหารบำรุงสมอง สารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อชะลอความเสื่อมของร่างกาย รวมทั้งสารเสริมบำรุงข้อต่อด้วย และยังควรจำกัดปริมาณแร่ธาตุเพื่อไม่เป็นภาระกับไตและหัวใจ นอกจากนี้ การแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กแต่ให้บ่อยครั้ง มีส่วนช่วยให้อาหารย่อยง่ายขึ้นอีกด้วย

ส่วนสุนัขที่อยู่ระหว่างพักฟื้นหรือป่วย มีอาการเบื่ออาหาร การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกอาหารสูตรเฉพาะสำหรับพักฟื้น (Recovery diet) ซึ่งมักมาในรูปแบบอาหารเปียกหรืออาหารเหลวที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง อาหารเหล่านี้ถูกออกแบบให้ย่อยง่าย เนื้ออาหารละเอียดป้อนง่าย ทำให้น้องหมาที่เบื่ออาหารหรือทานได้น้อยยังได้รับพลังงานเพียงพอและช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อระหว่างพักฟื้น ตัวอย่างเช่น อาหารเปียกสูตรพักฟื้น Delisci Excella Recovery ที่มีเนื้ออาหารเหลวละเอียด สามารถป้อนด้วยไซริงค์หรือช้อนให้น้องหมาที่กินลำบากได้ง่าย นอกจากเลือกอาหารที่เหมาะสมแล้ว กรณีสุนัขป่วยหรือพักฟื้น ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อคำแนะนำเรื่องโภชนาการเพิ่มเติม และอาจเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุตามความจำเป็นเพื่อการฟื้นตัวที่เร็วขึ้น

เลือกสูตรอาหารให้เหมาะกับช่วงวัยของสุนัข

ลูกสุนัข (วัยเด็ก): ช่วงวัยแรกเริ่มของลูกหมาตั้งแต่หย่านม (~อายุ 1 เดือนขึ้นไป) จนถึงประมาณ 1 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายเติบโตอย่างรวดเร็ว ความต้องการพลังงานและสารอาหารจะสูงกว่าวัยอื่นมาก อาหารหลักควรเป็นสูตรสำหรับลูกสุนัข (Puppy) โดยเฉพาะ ซึ่งมีโปรตีนและแคลอรีสูงเพื่อรองรับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะต่าง ๆ ให้แข็งแรงสมวัย ทั้งนี้ลูกสุนัขควรได้รับนมแม่ในช่วงแรกเกิดจนถึงวัยหย่านม จากนั้นจึงค่อย ๆ ฝึกกินอาหารเม็ดหรืออาหารอ่อนสำหรับลูกสุนัขโดยนำอาหารผสมกับน้ำอุ่นช่วยให้นิ่มลง เมื่ออายุประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไปจึงให้อาหารเม็ดแห้งได้เต็มที่ (แบ่งเป็น 3-4 มื้อต่อวัน) อาหารลูกสุนัขที่ดีมักเสริม DHA จากน้ำมันปลาเพื่อช่วยพัฒนาการสมองและสายตา และควรมีแคลเซียมกับฟอสฟอรัสในสัดส่วนเหมาะสมกับการสร้างกระดูก

สุนัขโตเต็มวัย: เมื่อสุนัขเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (โดยทั่วไปประมาณอายุ 1 ปีขึ้นไป ถึงราว 6-7 ปี) ความต้องการพลังงานต่อวันจะคงที่และน้อยกว่าวัยเด็ก อาหารหลักของสุนัขโตควรเป็นสูตรสำหรับสุนัขโตเต็มวัย (Adult Maintenance) ที่มีความสมดุลของสารอาหาร โปรตีนและไขมันในระดับพอเหมาะ เพื่อรักษาน้ำหนักตัวและสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เจ้าของควรเลือกสูตรอาหารตามกิจกรรมและสภาพร่างกายของสุนัขร่วมด้วย เช่น สุนัขที่ทำหมันแล้วมักมีอัตราการเผาผลาญพลังงานและความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมลดลง ควรเลือกสูตรควบคุมน้ำหนักหรือสูตร Indoor ที่พลังงานไม่สูงเกินไป ในทางกลับกัน ถ้าสุนัขโตยังมีกิจกรรมเยอะ ก็สามารถเลือกสูตร Active ที่ให้พลังงานสูงขึ้นได้เล็กน้อย ที่สำคัญคือควรให้อาหารตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของน้องหมาเพื่อป้องกันโรคอ้วน

สุนัขสูงวัย: สุนัขที่อายุประมาณ 7 ปีขึ้นไปจัดว่าเป็นสุนัขสูงวัย ร่างกายเริ่มเสื่อมชรา การเผาผลาญพลังงานลดลงและมักมีปัญหาสุขภาพตามวัย การเลือกอาหารสำหรับสุนัขสูงวัยจึงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ โดยควรใช้อาหารสูตร Senior ที่ย่อยง่ายและมีสารอาหารเสริมสำหรับวัยชรา เช่น โปรตีนคุณภาพสูงเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี ซี เพื่อชะลอความเสื่อม และใยอาหารสูงช่วยระบบขับถ่าย นอกจากนี้สูตรอาหารของสุนัขสูงวัยมักควบคุมปริมาณโซเดียม ฟอสฟอรัส และไขมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป เพื่อป้องกันภาระต่อหัวใจ ตับ ไต ของน้องหมาในบั้นปลายชีวิต หลายแบรนด์ยังเติมกลูโคซามีน คอนดรอยติน หรือสารบำรุงข้อมาในอาหารสูงวัยเพื่อช่วยดูแลข้อต่อและกระดูกอีกด้วย ดังนั้นเจ้าของจึงควรเปลี่ยนมาใช้อาหารสูตรสูงวัยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โดยค่อยๆ ปรับสัดส่วนจากสูตรเดิมมาสู่สูตร Senior ตามวิธีการเปลี่ยนอาหารที่จะแนะนำต่อไป

(หมายเหตุ: การแบ่งช่วงวัยอาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามสายพันธุ์ สุนัขพันธุ์ใหญ่บางสายพันธุ์อาจโตเต็มที่ช้ากว่าและนับเป็นสูงวัยเมื่ออายุมากกว่า 7 ปีเล็กน้อย ดังนั้นให้ยึดตามคำแนะนำของสัตวแพทย์หรือผู้ผลิตอาหารเป็นหลัก)

เปรียบเทียบประเภทอาหารสุนัข : อาหารเม็ด อาหารเปียก หรืออาหารสด แบบไหนดี?

อาหารสุนัขในปัจจุบันมีให้เลือกหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่ต่างกัน การเลือกประเภทอาหารที่เหมาะกับน้องหมาของคุณขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้เลี้ยงและความชอบของสุนัขเอง ดังนี้:

  • อาหารเม็ด (Dry Kibble): เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่สุด หาได้ง่ายและมีหลากหลายสูตรทั้งตามสายพันธุ์ ช่วงวัย และสภาพสุขภาพ ข้อดีของอาหารเม็ดสุนัขคือ
    • ความสะดวก – สามารถตวงให้กินได้ง่ายและเก็บได้นาน
    • มีสูตรหลากหลาย – ผู้เลี้ยงเลือกสูตรที่ตรงความต้องการได้ เช่น สูตรลูกสุนัข สูตรควบคุมน้ำหนัก หรือสูตรดูแลผิวหนัง เป็นต้น
    • ช่วยขัดฟัน – การเคี้ยวอาหารเม็ดช่วยลดคราบพลัคและหินปูนได้ในระดับหนึ่ง

แต่ข้อเสียของอาหารเม็ดบางยี่ห้อ คืออาจมีการเติมสารกันบูดหรือปรุงแต่งรสเพื่อความน่ากิน ซึ่งหากเป็นสารกันเสียสังเคราะห์อย่าง BHA, BHT หรือ Ethoxyquin ก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจส่งผลเสียระยะยาวต่อสุขภาพสุนัข อีกทั้งอาหารเม็ดเป็นอาหารแห้ง จึงมีความสดใหม่และความชุ่มชื้นน้อยกว่าอาหารประเภทอื่น หากเก็บไว้นานคุณค่าบางอย่างอาจลดลงได้ 

ดังนั้นผู้เลี้ยงควรเลือกอาหารเม็ดที่มีวัตถุดิบคุณภาพดี มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลัก และหลีกเลี่ยงอาหารเม็ดที่ใช้วัตถุดิบเกรดต่ำหรือผสมคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยยาก เช่น กากกลูเตนข้าวโพด ในปริมาณสูง เพราะอาจทำให้น้องหมาท้องอืดหรือย่อยยากได้ (ควรเน้นคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวโอ๊ต มันเทศ หรือข้าวกล้องที่ย่อยง่ายแทน โดยสรุป อาหารเม็ดที่ดีควรมีสารอาหารครบถ้วนตามมาตรฐาน AAFCO และเหมาะกับช่วงวัยของสุนัข พร้อมทั้งไม่มีสารอันตรายเจือปน

  • อาหารเปียก (Wet Food): อาหารสุนัขแบบเปียก เช่น อาหารกระป๋องหรือแบบถาดซอง มีลักษณะชุ่มน้ำทำจากเนื้อสัตว์เป็นหลัก ข้อดีคือ
    • มีกลิ่นหอมและรสชาติถูกใจ สุนัขส่วนใหญ่มักชอบกินอาหารเปียกเนื่องจากเนื้อนุ่มเคี้ยวง่าย และกลิ่นชวนกิน เหมาะกับสุนัขที่เบื่ออาหารเม็ดหรือกินยาก
    • ความชุ่มชื้นสูง – ให้น้ำแก่ร่างกายไปในตัว ลดความเสี่ยงภาวะขาดน้ำสำหรับสุนัขที่ดื่มน้ำน้อย

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของอาหารเปียกคือ เสียง่าย – เมื่อเปิดแล้วเหลือทิ้งไว้จะบูดเสียเร็ว ต้องเก็บในตู้เย็นและควรใช้ให้หมดภายใน 3-4 วัน มิฉะนั้นอาหารจะเน่าเสียและเกิดกลิ่นเหม็น นอกจากนี้ การให้อาหารเปียกอย่างเดียวโดยไม่ดูแลสุขภาพช่องปากอาจทำให้เกิดคราบหินปูนสะสมบนฟันง่ายขึ้น จึงควรแปรงฟันสุนัขเป็นประจำหรือสลับให้เคี้ยวของเล่นและอาหารเม็ดบ้างเพื่อทำความสะอาดฟัน อาหารเปียกมักมีราคาสูงกว่าอาหารเม็ดเมื่อเทียบต่อมื้อ ฉะนั้นบางบ้านจะใช้อาหารเปียกเป็นอาหารเสริมผสมกับอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากิน โดยสรุป อาหารเปียกเหมาะกับสุนัขกินยาก สุนัขป่วยสูงวัยที่เคี้ยวยาก หรือใช้เป็นมื้อพิเศษ แต่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจการจัดเก็บและสุขอนามัยช่องปากเป็นพิเศษ

  • อาหารปรุงสุก/อาหารสด (Home Cooked Food): การทำอาหารให้น้องหมาทานเองจากวัตถุดิบสดใหม่ เช่น การต้มเนื้อไก่ ปลา ไข่ ผักบางชนิด ข้าวโอ๊ต หรือมันฝรั่ง เป็นอีกทางเลือกที่หลายบ้านนิยม โดยข้อดี คือ
    • เจ้าของควบคุมวัตถุดิบได้เอง – เลือกใช้ของสด สะอาด ไม่มีสารปรุงแต่งใด ๆ และปรุงสุกใหม่ ตามความเหมาะสมกับสุขภาพของสุนัข เหมาะกับผู้เลี้ยงที่มีเวลาทำอาหารและต้องการมอบความหลากหลายแก่น้องหมา 
    • ปลอดภัย หากปรุงอย่างถูกวิธี ไม่มีเครื่องปรุงรสที่เป็นอันตราย (ควรงดการปรุงรสเค็ม/หวานจัดในอาหารสุนัข)

แต่ข้อควรระวังคือ ความสมดุลของสารอาหาร – การทำอาหารเองอาจยากในการคำนวณให้ครบหมู่ตามที่สุนัขต้องการ หากไม่มีความรู้เรื่องโภชนาการสัตว์อาจทำให้อาหารขาดวิตามินหรือแร่ธาตุบางอย่าง นอกจากนี้อาหารปรุงเองมักควบคุมแคลอรีลำบาก และถ้าเผลอใส่เครื่องปรุง (เช่น ใส่น้ำปลา/เกลือ) อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพสุนัขในระยะยาวได้ ดังนั้นการทำอาหารให้น้องหมาควรปรึกษาสูตรกับสัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้อาหารสมดุลและปลอดภัยจริง ๆ หลายครอบครัวอาจให้อาหารปรุงเองสลับกับอาหารเม็ดเพื่อความสะดวก โดยต้องระวังไม่ให้น้องหมาติดรสชาติอาหารคนจนไม่ยอมกลับไปกินอาหารสุนัข

  • อาหารดิบ (BARF – Biologically Appropriate Raw Food): อาหารสดแบบดิบเป็นแนวทางการให้อาหารที่เลียนแบบธรรมชาติของสัตว์กินเนื้อ โดยประกอบด้วย เนื้อดิบ กระดูกดิบ ผัก และผลไม้สด ไม่มีการปรุงสุก ข้อดีที่พูดถึงกันคือ
    • สารอาหารยังครบถ้วน ไม่ถูกทำลายจากความร้อน โปรตีนและไขมันจากเนื้อดิบอาจช่วยบำรุงสุขภาพขนและผิวหนังให้ดี ขับถ่ายน้อยลงและกลิ่นอุจจาระเบาลง เพราะร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้การขบเคี้ยวชิ้นเนื้อดิบและกระดูกอ่อนยังช่วยทำความสะอาดฟัน ลดหินปูนได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่ต้องพึงระวังคือ ความเสี่ยงการปนเปื้อน – เนื้อดิบอาจมีเชื้อแบคทีเรีย พยาธิ หรือปรสิตต่าง ๆ ปนอยู่ หากความสะอาดไม่เพียงพอ สุนัขอาจติดเชื้อหรือป่วยจากการกินอาหารดิบได้ และผู้เลี้ยงก็เสี่ยงติดเชื้อจากการสัมผัสเนื้อดิบเช่นกัน อีกทั้งอาหารบาร์ฟต้องจัดสรรสัดส่วนเนื้อ กระดูก ผัก ผลไม้ ให้เหมาะกับโภชนาการที่ต้องการ ถ้าไม่สมดุลอาจขาดสารอาหารบางอย่างได้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายยังสูง และต้องใช้เวลาเตรียมมากกว่าอาหารสำเร็จรูปทั่วไป ดังนั้นผู้ที่จะให้อาหารดิบควรศึกษาอย่างถี่ถ้วนและเลือกวัตถุดิบเกรดสำหรับการบริโภคดิบที่ปลอดภัย หรือปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องการให้อาหารแบบนี้โดยตรง

หมายเหตุ: สำหรับผู้เลี้ยงทั่วไป การให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปคุณภาพดีสลับกับอาหารเปียกบ้างเป็นครั้งคราว ถือเป็นวิธีที่สะดวกและมั่นใจได้ว่าสุนัขได้รับสารอาหารครบถ้วนตามมาตรฐาน หากต้องการให้อาหารปรุงเองหรืออาหารดิบ ควรปรึกษาสัตวแพทย์ด้านโภชนาการสัตว์เพื่อความปลอดภัยของน้องหมา

เทคนิคการอ่านฉลากอาหารสุนัขแบบเข้าใจง่าย

การอ่านและทำความเข้าใจฉลากอาหารสุนัขเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้ผู้เลี้ยงเลือกซื้ออาหารคุณภาพได้อย่างมั่นใจ ฉลากอาหาร จะบอกข้อมูลส่วนประกอบและคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งมีหลักในการพิจารณาง่าย ๆ ดังนี้:

  1. ดูส่วนผสมหลัก: ส่วนผสม (Ingredients) จะเรียงตามสัดส่วนน้ำหนักจากมากไปน้อย ควรมองหา เนื้อสัตว์แท้เป็นส่วนผสมอันดับแรก (เช่น เนื้อไก่, เนื้อวัว, ปลา) เพราะเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ย่อยง่ายและมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน สุนัขเป็นสัตว์กินเนื้อ การที่เนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักบ่งชี้ว่าอาหารนั้นมีโปรตีนจากสัตว์เพียงพอและเหมาะสม หากพบส่วนผสมหลักเป็นธัญพืชหรือผลพลอยได้จากสัตว์ (by-product) จำนวนมาก อาจหมายถึงคุณค่าทางอาหารต่ำกว่าอาหารที่ใช้เนื้อสัตว์แท้ ๆ นอกจากนี้ ควรเลือกสูตรที่ระบุแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวกล้อง มันเทศ หรือข้าวโอ๊ต มากกว่าที่จะมีแป้งสาลีหรือข้าวโพดเป็นหลัก (เนื่องจากข้าวโพดหรือโปรตีนข้าวโพดบางชนิดย่อยยาก อาจทำให้น้องหมาท้องอืดหรือได้รับสารอาหารไม่เต็มที่) 
  2. ตรวจคุณค่าทางโภชนาการ (Guaranteed Analysis): ฉลากอาหารจะมีตารางระบุเปอร์เซ็นต์ของสารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ไขมัน ไฟเบอร์ ความชื้น เป็นต้น เปอร์เซ็นต์เหล่านี้ช่วยให้เราเปรียบเทียบอาหารแต่ละยี่ห้อ/สูตรได้ ควรตรวจสอบว่าอาหารนั้นมีโปรตีนและไขมันอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับช่วงวัยของสุนัข เช่น ลูกสุนัขควรได้รับโปรตีนไม่น้อยกว่า ~22% ขึ้นไป ในขณะที่สุนัขโตเต็มวัยต้องการโปรตีนประมาณ 18% และสุนัขสูงวัยอาจต้องการโปรตีนสูงขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อซ่อมแซมร่างกาย (ประมาณ 20-25%) ส่วนไขมันควรมีกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 ในสัดส่วนสมดุล ซึ่งช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้สุขภาพดี หากเป็นไปได้ให้มองหาอาหารที่ระบุว่าเป็น “Complete and Balanced” ตามมาตรฐาน AAFCO (องค์กรควบคุมอาหารสัตว์ในสหรัฐฯ) สำหรับช่วงวัยนั้น ๆ บนฉลาก ซึ่งหมายความว่าอาหารนั้นมีสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการขั้นต่ำของสุนัข
  3. หลีกเลี่ยงสารปรุงแต่งที่ไม่จำเป็น: อ่านรายชื่อส่วนผสมเพื่อเลี่ยงวัตถุเจือปนที่อาจเป็นอันตรายในระยะยาว เช่น สารกันบูดสังเคราะห์ BHA, BHT และ Ethoxyquin ที่บางยี่ห้ออาจใช้ (ควรเลือกอาหารที่ใช้วิตามินอีหรือซีเป็นสารกันเสียธรรมชาติแทน) รวมถึงเลี่ยงอาหารที่ใส่สีผสมอาหารหรือสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์มากเกินไป เพราะมักใส่มาเพื่อดึงดูดใจผู้เลี้ยง แต่ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ต่อสุนัข นอกจากนี้ควรมองหาหมายเลขทะเบียนอาหารสัตว์บนฉลาก (ในไทยออกโดยกรมปศุสัตว์) เพื่อความมั่นใจว่าอาหารนั้นผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย และตรวจดูวันผลิต/วันหมดอายุ รวมถึงความสมบูรณ์ของบรรจุภัณฑ์ก่อนซื้อทุกครั้ง (ถุงไม่รั่ว ไม่บวม ไม่มีรอยฉีกขาดหรือขึ้นรา)
  4. ดูคำแนะนำปริมาณการให้อาหาร: ฉลากส่วนใหญ่จะมีตารางแนะนำปริมาณอาหารต่อวันตามน้ำหนักตัวของสุนัข ผู้เลี้ยงควรอ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำนั้น โดยสามารถปรับเพิ่มหรือลดเล็กน้อยตามสภาพร่างกายและกิจกรรมของน้องหมา แต่ไม่ควรให้อาหารเกินปริมาณที่กำหนดมากไป เพื่อป้องกันโรคอ้วน หากสุนัขกินไม่หมดควรเก็บอาหารให้มิดชิดและทำความสะอาดชามทุกครั้ง

เมื่ออ่านฉลากเป็นและเข้าใจข้อมูลข้างต้น ผู้เลี้ยงก็จะสามารถเปรียบเทียบคุณภาพอาหารสุนัขยี่ห้อต่าง ๆ และเลือกซื้อ ยี่ห้ออาหารหมา ที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดสำหรับน้องหมาของตนเองได้

แนวทางการสลับหรือเปลี่ยนอาหารสุนัขอย่างปลอดภัย

การเปลี่ยนยี่ห้อหรือสูตรอาหารสุนัขควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากระบบย่อยอาหารของสุนัขต้องปรับตัวกับอาหารใหม่ทีละน้อย หากเปลี่ยนอาหารทันทีแบบฉับพลัน น้องหมาอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน หรือเบื่ออาหารได้ โดยทั่วไปการเปลี่ยนอาหารสุนัขควรใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน ซึ่งวิธีมาตรฐานที่มักแนะนำ คือ ผสมอาหารใหม่กับอาหารเก่า แล้วทยอยเพิ่มสัดส่วนอาหารใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะ เช่น:

  • ช่วงวันที่ 1-3: ผสมอาหารใหม่ 25% กับอาหารเดิม 75% ให้สุนัขลองชิมในมื้อปกติ คอยสังเกตการกินและการขับถ่ายของเขา หากยังปกติดี ไม่มีอาการท้องเสียหรืออาเจียน จึงค่อยปรับสัดส่วนในขั้นถัดไป
  • ช่วงวันที่ 4-7: เพิ่มสัดส่วนเป็นอาหารใหม่ 50% ผสมกับอาหารเดิม 50% ให้สุนัขกินต่อไป และสังเกตปฏิกิริยาเช่นเดิม ถ้าน้องหมายอมรับอาหารใหม่และถ่ายได้ปกติ ก็เตรียมเข้าสู่ขั้นต่อไป
  • ช่วงวันที่ 8-12: เพิ่มอาหารใหม่เป็น 75% ลดอาหารเดิมเหลือ 25% ช่วงนี้น้องหมาจะคุ้นเคยกับรสชาติและส่วนผสมใหม่มากขึ้น หากไม่มีปัญหาอะไร หลังจากผ่านไป ~12 วันก็สามารถให้อาหารใหม่แบบ 100% ได้อย่างปลอดภัย
  • หลังจากนั้น: เมื่อน้องหมาปรับตัวได้ดี สามารถให้อาหารใหม่ทั้งหมดเป็นมื้อหลักได้เลย ควรเฝ้าดูสุขภาพ การขับถ่าย และน้ำหนักตัวในช่วงเดือนแรกที่เปลี่ยนอาหารใหม่ หากพบความผิดปกติใด ๆ ให้ปรึกษาสัตวแพทย์และอาจพิจารณาเปลี่ยนสูตรอาหารที่เหมาะสมกว่า

การปรับเปลี่ยนอาหารตามวิธีข้างต้นจะช่วยให้น้องหมาค่อย ๆ คุ้นเคยกับอาหารยี่ห้อหรือสูตรใหม่ ลดความเสี่ยงปัญหาทางเดินอาหารและทำให้การเปลี่ยนอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น สำหรับสุนัขที่มีปัญหาระบบย่อย ผู้เลี้ยงอาจยืดระยะเวลาแต่ละช่วงออกไปอีกหน่อย (เช่น ใช้เวลา 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นในการเปลี่ยนอาหาร) เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น

Tip: ทุกครั้งที่ต้องการเปลี่ยนอาหาร ควรซื้ออาหารใหม่ถุงเล็กมาทดลองก่อนเพื่อดูว่าน้องหมาชอบและกินได้ไหม ไม่ควรซื้อถุงใหญ่ในครั้งแรก และหากเป็นไปได้ควรเลือกช่วงเวลาที่น้องหมาสุขภาพแข็งแรงดีในการเปลี่ยนอาหาร หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนอาหารในช่วงที่เขาป่วย มีความเครียด หรือหลังเพิ่งรับวัคซีนใหม่ ๆ

ดูแลสุขภาพน้องหมาให้สมบูรณ์ ด้วยอาหารและสารอาหารเสริม

การเลือกอาหารหลักที่เหมาะสมคือพื้นฐานสำคัญที่สุดของสุขภาพสุนัข แต่ในบางกรณีเจ้าของอาจพิจารณา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เพื่อดูแลสุขภาพน้องหมาเฉพาะด้านเพิ่มเติมควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะสุนัขที่มีปัญหาสุขภาพหรืออยู่ในช่วงพักฟื้น ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม VFcore จาก VetSynova ซึ่งเป็นอาหารเสริมชนิดครีมเลีย (paste) ที่สามารถใช้ได้กับทั้งสุนัขและแมว เพื่อบำรุงและเสริมสุขภาพในด้านต่าง ๆ อย่างตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น :

  • VFcore: RB (บำรุงเลือด): สูตรเสริมธาตุเหล็กและโฟเลต ช่วยบำรุงเลือด เพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดง เหมาะสำหรับสุนัขที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กหรือติดพยาธิเม็ดเลือด, สุนัขหลังผ่าตัด หรือสุนัขที่เป็นผู้บริจาคเลือด เป็นต้น ตัวผลิตภัณฑ์อยู่ในรูปแบบครีมรสตับที่น้องหมาสามารถเลียกินได้ง่าย สามารถให้แทนการกินยาบำรุงเลือดในรูปแบบเม็ดในสุนัขที่ป้อนยายาก อีกทั้งยังสามารถป้อนควบคู่กับยาปฏิชีวนะได้โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของยาอีกด้วย
  • VFcore: SK (Skin & Coat): สูตรเพื่อสุขภาพผิวหนังและขนของสุนัข มีส่วนผสมของกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า-3, โอเมก้า-6, โอเมก้า-9 ร่วมกับวิตามินบีและไบโอติน ที่ช่วยบำรุงผิวหนังให้ชุ่มชื้น ลดการอักเสบของผิว และบำรุงขนให้เงางามแข็งแรง ลดการหลุดร่วง เหมาะกับสุนัขที่มีปัญหาผิวหนังแพ้ง่าย คัน มีขนแห้งหรือหลุดร่วงมากกว่าปกติ รวมถึงสุนัขที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหนังหลังจากป่วยหรือผ่าตัด

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในการดูแลสุขภาพน้องหมาแบบองค์รวม ผู้เลี้ยงควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมของปัญหาสุขภาพสุนัขแต่ละตัว และควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนการใช้เสมอ เพื่อความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เสริมนั้นจำเป็นและปลอดภัยกับน้องหมาของเรา

การเลือกอาหารสุนัขที่ดีไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเราเข้าใจหลักพื้นฐานสำคัญ ได้แก่ ช่วงวัย ขนาดสายพันธุ์ และไลฟ์สไตล์ของสุนัข เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงพิจารณารายละเอียดเชิงลึกด้วยการอ่านฉลาก ดูส่วนผสมและคุณค่าทางโภชนาการ การให้ความสำคัญกับโปรตีนคุณภาพสูง ไขมันดี และคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย รวมถึงหลีกเลี่ยงสารปรุงแต่งที่ไม่จำเป็น คือหัวใจหลักของการเลือกอาหารสุนัขที่เหมาะสม เมื่อเจ้าของใส่ใจเรื่องอาหารการกินของน้องหมาอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจัดสรรการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพด้านอื่น ๆ ควบคู่กัน เชื่อได้ว่าสุนัขของคุณจะมีสุขภาพที่แข็งแรง อายุยืนยาว และอยู่เป็นเพื่อนที่รู้ใจของคุณไปอีกนานแสนนาน