ความสำคัญของการดูแลแผลในสุนัขและแมว

การดูแลบาดแผล (wound care) เป็นส่วนสำคัญของการดูแลสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าสุนัขหรือแมวของเราจะร่าเริงซุกซนเพียงใด ก็อาจเกิดอุบัติเหตุจนเป็นแผลได้เสมอ การดูแลบาดแผลอย่างถูกต้องจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สัตว์เลี้ยงฟื้นตัวไว และลดช่วงเวลาที่ต้องทนเจ็บปวดลงได้ นอกจากนี้ยังทำให้เจ้าของสบายใจว่าแผลจะไม่ลุกลามหรือนำไปสู่การติดเชื้อรุนเเรง

อย่างไรก็ตาม การรักษาแผลสัตว์เลี้ยง ต้องทำอย่างระมัดระวังและถูกวิธีตามหลักสัตวแพทย์ เพราะผิวหนังของสุนัขและแมวนั้นมีความบอบบางแตกต่างจากของคน มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายหากดูแลไม่ดี การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้แผลหายช้าลงหรือเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้วิธีการรักษาแผลสัตว์เลี้ยงทั้งน้องหมาและน้องแมวอย่างปลอดภัย ตั้งแต่การจำแนกประเภทของแผล การทำความสะอาดและปฐมพยาบาลเบื้องต้น ข้อควรระวังสำคัญต่างๆ ตลอดจนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลแผลที่สัตวแพทย์แนะนำ เพื่อให้น้องๆ หายไวและปลอดภัยที่สุด

ประเภทของบาดแผลที่พบบ่อยในสุนัขและแมว

สุนัขและแมวสามารถเกิดบาดแผลได้หลายรูปแบบ ซึ่งวิธีการดูแลอาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามชนิดของแผล ตัวอย่างประเภทบาดแผลที่พบบ่อย เช่น

  • แผลถลอก (Abrasion) เป็นแผลตื้นๆ ที่ผิวหนังถลอก เช่น รอยขีดข่วนหรือครูดกับพื้นผิวหยาบ มักมีเลือดซึมเล็กน้อย
  • แผลบาดหรือแผลฉีกขาด (Laceration/Cut) เกิดจากของมีคมบาดหรือของแหลมทิ่ม เช่น แผลโดนแก้วหรือโลหะบาด อาจตื้นหรือลึกก็ได้
  • แผลถูกกัดหรือแผลแทงทะลุ (Bite/Puncture Wound) มักเกิดจากการกัดกันระหว่างสัตว์ หรือถูกของแหลมแทงเป็นรูเล็กแต่ลึก แผลลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและกลายเป็นฝีหนองตามมาได้ โดยเฉพาะในแมวที่ถูกกัด ที่แผลเล็กๆจากการกัด สามารถติดเชื้อลึกจนบวมเป็นฝีภายใน 2-3 วันหลังโดนกัดได้
  • แผลไฟไหม้/น้ำร้อนลวก (Burn) เกิดจากความร้อนหรือสารเคมี ทำให้ผิวหนังแดง พุพอง หรือไหม้ลึก ระดับความรุนแรงขึ้นอยู่กับชั้นผิวที่ถูกทำลาย
  • แผลฟกช้ำ(Bruise/Contusion) การบาดเจ็บที่ไม่ได้ทำให้ผิวหนังเปิดออก แต่เนื้อเยื่อใต้ผิวบอบช้ำ มีอาการบวมช้ำภายใน
  • แผลผ่าตัด (Surgical Incision) บาดแผลที่เกิดจากการผ่าตัด ซึ่งเจ้าของต้องดูแลตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด (เช่น รักษาความสะอาด และป้องกันสัตว์เลียแผล)

การรู้จักประเภทของแผลเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้เราประเมินได้ว่าควรดูแลเองเบื้องต้นหรือพาไปหาสัตวแพทย์ทันที เช่น แผลเปิดกว้าง ลึกมาก กระดูกโผล่ หรือติดเชื้อรุนแรง ควรให้สัตวแพทย์ทำการรักษา ส่วนแผลเล็กน้อยถ้าเรารู้วิธีที่ถูกต้องก็สามารถดูแลเองที่บ้านได้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัตว์เลี้ยงได้รับบาดแผล

เมื่อสุนัขหรือแมวมีบาดแผล สิ่งที่สำคัญคือ เจ้าของต้องตั้งสติและรีบทำการปฐมพยาบาลเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและบรรเทาความเจ็บปวดของสัตว์เลี้ยง โดยขั้นตอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมีดังนี้

  1. ประเมินอาการและความรุนแรงของแผล สำรวจว่าแผลมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ลึกมากน้อยแค่ไหน มีเลือดออกมากหรือไม่ หากแผลมีขนาดใหญ่ ลึกมาก หรือเลือดยังไหลไม่หยุด ควรรีบนำสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ทันที เพื่อการเย็บหรือห้ามเลือด ไม่ควรพยายามรักษาเองในกรณีที่บาดแผลรุนแรง
  2. ทำให้สัตว์สงบและป้องกันการกัด/ข่วน ขณะสัตว์เจ็บปวดอาจมีพฤติกรรมป้องกันตัว เจ้าของควรระวังไม่ให้ถูกกัดหรือข่วน หากสุนัขเจ็บมากควรใส่ที่ครอบปาก (muzzle) ก่อนทำแผล ส่วนแมวอาจใช้ผ้าขนหนูหนาๆ ห่อหุ้มตัวเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว ลดความเสี่ยงที่เจ้าของจะโดนข่วนขณะทำแผล
  3. ห้ามเลือด (ถ้ามีเลือดออก) ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดกดลงบนแผลที่เลือดออกด้วยเเรงพอประมาณ (อย่าออกแรงกดมากเกินไป) กดค้างไว้ประมาณ 5-10 นาทีจนเลือดหยุด หากเป็นไปได้ ยกส่วนของร่างกายสัตว์ที่มีแผลให้สูงกว่าระดับหัวใจขณะกดห้ามเลือด เพื่อช่วยลดการไหลของเลือด หากเลือดยังไม่หยุดไหลหรือพุ่งแรง ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็ว
  4. ทำความสะอาดแผลขั้นต้น เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือล้างแผล  (Normal Saline) เพื่อชะล้างสิ่งสกปรก ฝุ่น ดิน หรือเชื้อโรคที่อยู่บนบาดแผลออกให้มากที่สุด การใช้น้ำเกลือถือว่าอ่อนโยนและปลอดภัยต่อเนื้อเยื่อแผล น้ำเกลือสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือผสมเองโดยผสมเกลือประมาณ 1 ช้อนชา ในน้ำสะอาด 500 มิลลิลิตร (ต้มสุกแล้วปล่อยให้เย็น) ก็จะได้น้ำเกลือเข้มข้นประมาณ 0.9% สำหรับล้างแผล
    • การโกนขนรอบแผล ในกรณีที่น้องหมาน้องแมวมีขนยาวหรือมีขนบริเวณรอบแผล ควรตัดหรือโกนขนรอบๆ แผลออกเพื่อป้องกันเศษขนไม่ให้ปลิวตกลงไปในแผลและลดการสะสมเชื้อโรคใต้ขนหนาๆ เคล็ดลับ ควรทาวาสลีนหรือเจลหล่อลื่น (เช่น K-Y jelly) ปิดที่บริเวณปากแผลก่อนโกนขน แล้วค่อยเช็ดเจลออกพร้อมเศษขนด้วยน้ำเกลือหลังโกนขนเสร็จ วิธีนี้จะช่วยกันไม่ให้เส้นขนหล่นลงไปติดในบาดแผลโดยตรงขณะโกนขน
    • การกำจัดสิ่งแปลกปลอม หากมองเห็นสิ่งแปลกปลอมฝังในแผล เช่น เศษแก้ว เสี้ยนไม้ หรือกรวดเล็กๆ สามารถใช้แหนบที่สะอาดคีบออกอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าเป็นวัตถุชิ้นใหญ่หรือฝังลึก ไม่ควรนำออกเองเพราะอาจทำให้เลือดออกมากขึ้น ควรให้สัตวแพทย์เป็นผู้จัดการในกรณีนี้
  5. ใส่ยาฆ่าเชื้อหรือยาทาแผล หลังล้างแผลและซับให้แห้งด้วยผ้าก๊อซสะอาดแล้ว ให้ทายาฆ่าเชื้อหรือยาทาแผลที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยงลงบนบาดแผลบางๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน (ควรใช้เฉพาะยาที่สัตวแพทย์แนะนำ) ตัวอย่างยาฆ่าเชื้อที่มักใช้กับสัตว์เลี้ยง เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อสูตรอ่อนโยนสำหรับสัตว์, สเปรย์ทำความสะอาดแผลที่ปลอดภัย (pet-safe wound spray), หรือครีมยาปฏิชีวนะสำหรับสัตว์ เป็นต้น ทั้งนี้ หลีกเลี่ยงการผลิตภัณฑ์ของคน อย่างโพวิโดนไอโอดีน (เบตาดีน) หรือยาที่ไม่ใช่สำหรับสัตว์โดยไม่ปรึกษาสัตวแพทย์ เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและบางชนิดเป็นพิษเมื่อเลียเข้าไปได้
  6. ปิดแผลและป้องกันการเลีย หากบาดแผลมีขนาดใหญ่ อยู่ในบริเวณที่สกปรกง่าย หรืออยู่ในตำแหน่งที่สัตว์เลียถึง ควรปิดแผลด้วยผ้าพันแผล ผ้าก๊อซ หรือพลาสเตอร์ปิดแผลที่สะอาด การปิดแผลจะช่วยป้องกันสิ่งสกปรกและเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่แผล อีกทั้งลดโอกาสที่น้องหมาน้องแมวจะเลียหรือกัดแผลตัวเอง ซึ่งการเลียแผลจะยิ่งทำให้แผลสกปรกและเสี่ยงติดเชื้อมากขึ้น ในกรณีที่แผลอยู่บริเวณลำตัวที่ปิดด้วยผ้าพันแผลลำบาก อาจให้สัตว์เลี้ยงสวมปลอกคอกันเลีย (Elizabethan collar หรือ E-collar) เพื่อป้องกันการเลียหรือกัดแผลแทน

หมายเหตุ การพันผ้าหรือพันแผลบนตัวสัตว์เลี้ยงควรทำอย่างถูกวิธีและไม่แน่นเกินไป เพราะการพันแผลแน่นเกินไปจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกและเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้ เจ้าของหลายคนอาจกังวลจนพันแน่นไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะบริเวณขา หาง หรือคอของสัตว์เลี้ยง หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในการพันแผลครั้งแรก หรือใช้หลักการใส่นิ้วมือ 2 นิ้ว เข้าไประหว่างพันแผล ก็จะได้การพันแผลที่ไม่แน่นจนเกินไป

เมื่อปฐมพยาบาลตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว สัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่จะรู้สึกสบายขึ้นในเบื้องต้น เราจึงค่อยพาน้องไปพักในที่สะอาด แห้ง และสงบ เพื่อเฝ้าสังเกตอาการต่อไป ช่วงนี้ควรจำกัดการเคลื่อนไหวของสัตว์เลี้ยงไม่ให้วิ่งเล่นมากเกินไป เพราะการเคลื่อนไหวรุนแรงอาจทำให้แผลเปิดหรือเลือดออกซ้ำได้ ควรให้น้องพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายเริ่มซ่อมแซมแผลได้เต็มที่

ขั้นตอนการทำแผลต่อเนื่องอย่างถูกต้องและปลอดภัย

หลังการปฐมพยาบาลในช่วงแรกแล้ว การดูแลแผลในวันต่อๆไปที่บ้านอย่างถูกวิธีก็สำคัญไม่แพ้กัน เราควรใส่ใจ ทำแผลและทำความสะอาดแผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แผลสมานได้เร็วและไม่ติดเชื้อแทรกซ้อน ขั้นตอนและหลักการมีดังนี้

  • ทำความสะอาดแผลเป็นประจำ ในช่วง 1-3 วันแรก ควรทำความสะอาดแผลวันละ 1-2 ครั้ง โดยใช้สำลีหรือผ้าก๊อซชุบน้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดอย่างเบามือ เพื่อล้างคราบเลือด สิ่งคัดหลั่ง หรือสิ่งสกปรกที่อาจสะสมอยู่ การทำแผลบ่อยช่วงแรกจะช่วยลดเชื้อโรคและช่วยให้เราสังเกตความเปลี่ยนแปลงของแผลได้ทันท่วงที จากนั้นเมื่อแผลเริ่มดีขึ้น อาจลดการทำแผลเหลือวันละครั้งหรือวันเว้นวันตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
  • การใช้ยาทาแผลและผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ หลังทำความสะอาดทุกครั้ง ควรทายาฆ่าเชื้อหรือผลิตภัณฑ์ดูแลแผลสำหรับสัตว์เลี้ยงตามที่สัตวแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด (เช่น สเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อ, เจลสมานแผล หรือครีมยาปฏิชีวนะสำหรับสัตว์) เพื่อป้องกันการติดเชื้อและส่งเสริมการสมานแผล ทายาบางๆ ให้ทั่วบริเวณแผลโดยใช้สำลีหรือไม้พันสำลีที่สะอาด (หลีกเลี่ยงการใช้มือเปล่าแตะแผลโดยตรง)
  • ป้องกันสัตว์เลียแผลตลอดระยะการรักษา ต้องมั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงของเราไม่สามารถเลียหรือกัดแผลตัวเองได้ โดยอาจให้ใส่ปลอกคอกันเลียตลอดเวลาที่แผลยังไม่หายสนิท หรือใช้เสื้อคลุม/ผ้าพันแผลช่วยปิดบริเวณแผลไว้ ทั้งนี้น้ำลายของสัตว์เลี้ยงเต็มไปด้วยแบคทีเรีย การปล่อยให้น้องเลียแผลจะเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อสูงมากและทำให้แผลหายช้าลงอย่างมาก
  • เปลี่ยนผ้าปิดแผล/ผ้าพันแผลเมื่อจำเป็น หากแผลของน้องถูกพันหรือปิดแผลไว้ ควรเปลี่ยนผ้าปิดแผลให้สะอาดทุกวันในช่วงแรก โดยทุกครั้งที่เปลี่ยนต้องทำความสะอาดแผลตามขั้นตอนข้างต้นก่อนแล้วจึงเปลี่ยนผ้าพันแผล เพื่อให้เราสามารถตรวจดูแผลว่าไม่มีหนองหรือการอักเสบเพิ่ม และช่วยให้แผลได้รับการทำความสะอาดสม่ำเสมอ (เมื่อพ้น 2-3 วันแรกไปแล้ว แผลเริ่มสมานดี สามารถเว้นระยะเปลี่ยนผ้าเป็นทุก 2-3 วันได้ หากผ้าปิดแผลยังสะอาดไม่เปียกชื้นและสัตวแพทย์ประเมินว่าแผลดีขึ้น)
  • สังเกตอาการผิดปกติทุกวัน เจ้าของควรตรวจดูแผลของน้องหมาแมวทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อประเมินว่าแผลดีขึ้นตามปกติหรือมีสัญญาณผิดปกติใดๆ เช่น บวมแดงมากขึ้น, มีของเหลวหรือหนองไหล, มีกลิ่นเหม็น, แผลดูเนื้อตายสีคล้ำ หรือสัตว์เลี้ยงเจ็บปวดมากขึ้น ไม่กินอาหาร หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาหรือพาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดการติดเชื้อหรือต้องการการรักษาที่มากกว่านี้ (เช่น ผ่าตัดล้างแผล หรือตัดเนื้อตายออก) โดยทั่วไป เนื้อเยื่อแผลที่ดีจะมีสีชมพูและมีความชุ่มชื้น (granulation tissue) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าแผลกำลังสมาน แต่ถ้าพบเนื้อเยื่อส่วนใดเป็นสีดำแห้งหรือซีดคล้ำไม่มีความรู้สึก นั่นคือเนื้อตายที่อาจต้องให้สัตวแพทย์เลาะออกเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ให้ยาตามแพทย์สั่ง (ถ้ามี) ในบางกรณีที่แผลมีความเสี่ยงติดเชื้อสูง สัตวแพทย์อาจสั่งยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะแบบรับประทานมารับประทานที่บ้าน เจ้าของต้องป้อนยาให้ครบตามจำนวนวันและขนาดที่กำหนด ห้ามหยุดยาเองแม้แผลดูเหมือนหายแล้ว เพราะอาจเกิดเชื้อดื้อยาหรือกลับมาติดเชื้อซ้ำได้ นอกจากนี้อาจมียาแก้ปวดลดอักเสบให้กินเพื่อให้น้องไม่เจ็บแผลมากเกินไป ซึ่งยากลุ่มนี้ต้องให้ตามขนาดที่กำหนดเท่านั้น

ข้อควรระวังในการดูแลแผลของสัตว์เลี้ยง

การดูแลแผลสัตว์เลี้ยงมีข้อควรระวังหลายประการที่เจ้าของต้องใส่ใจ เพื่อความปลอดภัยของทั้งสัตว์เลี้ยงและตัวเจ้าของเอง ดังนี้

  • รู้ว่ากรณีไหนควรไปหาสัตวแพทย์ทันที แม้แผลบางชนิดเราดูแลเองได้ แต่มีหลายกรณีที่ต้องพาไปหาหมอทันที เช่น แผลขนาดใหญ่หรือลึกมาก (อาจต้องเย็บหรือผ่าตัดทำความสะอาด), แผลมีเลือดออกมากหยุดเลือดยาก, แผลที่เห็นกระดูก กล้ามเนื้อ หรืออวัยวะภายในโผล่ออกมา, แผลไฟไหม้รุนแรง, แผลถูกกัดที่สงสัยว่าจะติดเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือมีเศษฟัน/เล็บฝัง หรือกรณีที่สัตว์เลี้ยงมีอาการซึมมาก มีไข้สูง ไม่ยอมกินอาหารร่วมด้วย สถานการณ์เหล่านี้เกินกว่าที่จะดูแลเองและถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องให้สัตวแพทย์ช่วยอย่างเร่งด่วน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม ห้ามใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ของคนกับสัตว์เลี้ยง เว้นแต่สัตวแพทย์จะแนะนำ เช่น สบู่คน แชมพูคน แอลกอฮอล์เช็ดแผล น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีความเข้มข้นสูง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ น้ำส้มสายชู สมุนไพร น้ำมันหอมระเหย (ทีทรีออยล์) หรือสารอื่นๆ ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับสัตว์เลี้ยง เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้บางชนิดเป็นพิษต่อสัตว์เมื่อเลียเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อใหม่ของแผล และทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ 
  • ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาครีมใดๆ โดยไม่ปรึกษาหมอ ยาบางชนิดที่ดูเหมือนไม่มีอันตรายสำหรับคน อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์หรือทำให้แผลหายช้าลง ตัวอย่างเช่น ครีมบางตัวมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ที่ห้ามใช้กับแผลเปิด, ยาปฏิชีวนะบางตัวหากใช้ไม่ถูกชนิดจะไม่ครอบคลุมเชื้อโรคที่ติดในแผล เป็นต้น การใช้ยาผิดอาจก่อให้เกิดเชื้อดื้อยาหรือภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ ดังนั้นทุกครั้งที่จะใช้ยาใดๆ กับแผลของสัตว์เลี้ยง ควรได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ก่อนเสมอ
  • รักษาความสะอาด ทุกครั้งที่ทำแผลหรือสัมผัสบาดแผล ควรล้างมือให้สะอาดก่อน และสวมถุงมือยาง/พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากมือเราไปปนเปื้อนที่แผล นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ใช้ทำแผล เช่น กรรไกรตัดขน, แหนบ, สำลี ควรเป็นของสะอาดปราศจากเชื้อ (ถ้าเป็นอุปกรณ์ใช้ซ้ำควรเช็ดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อก่อนใช้)
  • สังเกตอาการสัตว์เลี้ยงระหว่างรักษา หากระหว่างที่ดูแลแผล น้องหมาหรือแมวมีอาการผิดปกติ เช่น ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด, เบื่ออาหาร, มีไข้สูง, หรือเจ็บปวดไม่ยอมให้จับต้องแผลเลย อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่าอาจมีการติดเชื้อ หรือมีภาวะแทรกซ้อน ควรพาไปตรวจโดยสัตวแพทย์ทันที อย่าปล่อยไว้จนแผลลุกลามเพราะจะยิ่งรักษายากขึ้น

การป้องกันไว้ก่อนย่อมดีที่สุด ถ้าเราดูแลแผลโดยใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์ และรู้ขอบเขตว่าแผลลักษณะไหนควรให้คุณหมอช่วย จะทำให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สัตว์เลี้ยงของเราก็จะหายเป็นปกติได้ไวขึ้น

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลแผลที่สัตวแพทย์แนะนำ

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดและรักษาแผลสัตว์เลี้ยงวางจำหน่ายมากมาย ทั้งในคลินิก ร้านขายยาสัตว์ และออนไลน์ เจ้าของควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองว่าใช้กับสัตว์เลี้ยงได้อย่างปลอดภัย และควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่สัตวแพทย์แนะนำ หลักการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลแผลสัตว์เลี้ยง มีข้อควรพิจารณาดังนี้

  • ปลอดภัยหากสัตว์เลีย สุนัขและแมวมักเลียทำความสะอาดตัวเองตามสัญชาตญาณ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับแผลสัตว์เลี้ยงควรปลอดภัยหากสัตว์เลียหรือเผลอกินเข้าไป (non-toxic & lick-safe)
  • มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อกว้างและมีประสิทธิภาพ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ และสปอร์ของเชื้อ ได้อย่างครอบคลุม
  • ไม่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องอ่อนโยน ไม่ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อดีบริเวณขอบแผล (tissue-friendly) และไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ทำให้แสบระคายเคือง เนื่องจากสารเหล่านี้อาจทำให้แผลหายช้าลง
  • ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็น การใช้สเตียรอยด์หรือยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น เชื้อดื้อยา สัตวแพทย์มักแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแผลทั่วไปที่ไม่มีส่วนผสมยาแรงๆ ก่อน หากจำเป็นจึงค่อยใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาพิเศษตามสั่งของสัตวแพทย์
  • ใช้ง่ายและเหมาะกับตำแหน่งแผล เลือกรูปแบบที่สะดวกต่อการใช้กับแผลของน้อง เช่น ถ้าเป็นแผลกว้างตื้นอาจใช้สเปรย์ฉีดพ่นได้ทั่วถึง แต่ถ้าเป็นแผลลึกเป็นโพรงอาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเจลเพื่อสะดวกในการใช้เเละได้ผลดีที่สุด

MicrocynAH – ผลิตภัณฑ์ดูแลแผล นวัตกรรมสำหรับสัตว์เลี้ยง

หนึ่งในผลิตภัณฑ์ดูแลแผลสำหรับสัตว์เลี้ยงที่สัตวแพทย์หลายคนไว้วางใจและแนะนำให้มีติดบ้านคือ MicrocynAH ซึ่งเป็นนวัตกรรมดูแลบาดแผลสำหรับสัตว์โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีสารออกฤทธิ์คือ Hypochlorous Acid (HOCl) ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นสารฆ่าเชื้อที่เม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค

จุดเด่นของ MicrocynAH

  • ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ และสปอร์ของเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
  • ปลอดภัยหากสัตว์เลียหรือกลืนเข้าไป ไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง เหมาะกับสัตว์ทุกชนิดและทุกช่วงวัย
  • อ่อนโยนต่อเนื้อเยื่อ ไม่ทำลายเซลล์ผิวหนังปกติ และไม่ก่อการระคายเคืองต่อผิวหนังสัตว์เลี้ยง 
  • ลดการอักเสบและช่วยบรรเทาอาการคัน ทำให้สัตว์เลี้ยงสบายตัวขึ้น ไม่คันจนเลียแผลบ่อยๆ (ซึ่งเป็นสาเหตุให้แผลหายช้า)
  • กระตุ้นการสมานแผล: ช่วยให้แผลสร้างเนื้อใหม่ได้เร็วขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ชุ่มชื้นเหมาะสม เมื่อใช้ในรูปแบบสเปรย์หรือไฮโดรเจลจะช่วยให้แผลไม่แห้งแข็งหรือตกสะเก็ดเร็วเกินไป ซึ่งเป็นสภาวะที่แผลสมานตัวได้ดีที่สุด

ผลิตภัณฑ์ MicrocynAH มีให้เลือกหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้งาน เช่น MicrocynAH Wound & Skin Care Spray (สเปรย์น้ำสำหรับพ่นทำความสะอาดและฆ่าเชื้อแผล), MicrocynAH Wound & Skin Care Hydrogel (เจลสำหรับปิดแผลให้ชุ่มชื้นและฆ่าเชื้อไปพร้อมกัน) เป็นต้น เจ้าของสามารถใช้สเปรย์ฉีดพ่นลงบนแผลหลังทำความสะอาด แนะนำพ่น 3-4 ครั้งต่อวัน โดยไม่ต้องล้างออก หรือในกรณีแผลลึกหรือแผลขนาดใหญ่ แนะนำให้ใช้ MicrocynAH Wound & Skin Care Hydrogel ใส่เข้าไปในโพรงแผล เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เเละคงประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์นี้ไม่แสบแผลและไม่มีกลิ่นฉุน น้องหมาน้องแมวจึงไม่ค่อยต่อต้านขณะทำแผล ช่วยให้การดูแลแผลที่บ้านเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

สิ่งที่เจ้าของควรรู้ในการดูแลแผลสุนัข

โดยทั่วไปการดูแลแผลสุนัขจะใช้หลักการเดียวกับที่กล่าวมาข้างต้น แต่มีจุดที่เจ้าของสุนัขควรใส่ใจเป็นพิเศษดังนี้:

  • การควบคุมสัตว์ขณะทำแผล สุนัขบางตัวเวลาบาดเจ็บอาจดิ้นหรือพยายามกัดได้ เจ้าของควรมีผู้ช่วยจับสุนัขให้นิ่งหรือใช้สายจูงผูกไว้ในระหว่างทำแผล หากสุนัขมีอาการดุร้ายจากความเจ็บปวด ควรใส่ที่ครอบปาก (muzzle) ก่อนเริ่มทำแผลเพื่อลดความเสี่ยงในการโดนกัด
  • ทำความสะอาดขนรอบแผล สุนัขส่วนใหญ่มีขนหนากว่าแมว การตัดหรือโกนขนรอบแผลในสุนัขจึงสำคัญมากเพื่อป้องกันการอับชื้นและลดแหล่งสะสมเชื้อโรค ควรโกนขนรอบแผลออกอย่างน้อยประมาณ 1-2 นิ้วจากขอบแผลทุกทิศทาง แล้วเช็ดทำความสะอาดเศษขนออกด้วยน้ำเกลือให้หมด (ตามวิธีที่แนะนำด้านบน)
  • ระวังการพันแผลที่ขาและหาง สุนัขมักทนต่อการพันผ้าพันแผลได้ดีกว่าแมว แต่จุดที่ต้องระวังคือการพันแผลบริเวณขา (โดยเฉพาะขาหน้า ขาหลัง) และส่วนหาง ต้องไม่พันแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก 
  • การใช้ปลอกคอกันเลียและเสื้อคลุมป้องกันแผล สุนัขบางตัวไม่ชอบใส่ปลอกคอกันเลีย (เอลิซาเบธคอลลาร์) เพราะเกะกะ แต่เจ้าของควรพยายามให้สุนัขใส่ตลอดช่วงที่แผลยังไม่หาย เพื่อป้องกันไม่ให้เลียหรือกัดแผลตัวเอง หากสุนัขไม่ยอมจริงๆ อาจใช้เสื้อคลุมแผลสำหรับสุนัข (ชุดเสื้อผ้าบางๆ ที่ออกแบบมาคลุมลำตัวปิดแผลผ่าตัด) เป็นตัวช่วยแทน แต่ยังไงก็ตามการใส่ปลอกคอยังคือวิธีที่ได้ผลที่สุดในการกันสุนัขเลียแผลของตัวเอง
  • จำกัดการเคลื่อนไหวและกิจกรรม เจ้าของควรจำกัดกิจกรรมของสุนัขชั่วคราว เช่น ไม่พาวิ่งออกกำลังกายหรือเล่นแรงๆ จนกว่าแผลจะหายดี เพื่อป้องกันแผลปริหรือกระเทือน แนะนำให้จูงเดินเบาๆ เพื่อให้น้องได้ขับถ่ายและผ่อนคลาย แต่หลีกเลี่ยงการปล่อยวิ่งอิสระจนกว่าจะตัดไหมหรือแผลสมานเต็มที่
  • ตรวจสอบบาดแผลและผ้าพันแผลทุกวัน สุนัขชอบเล่นซน อาจทำให้ผ้าพันแผลหลุดหรือเลอะเทอะได้ง่าย ควรตรวจดูว่าผ้าพันแผลยังอยู่เรียบร้อยและแผลไม่ชื้นสกปรก หากผ้าพันแผลหลุดหรือเปียกน้ำ/โคลน ต้องเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

สิ่งที่เจ้าของควรรู้ในการดูแลแผลแมว 

  • การทำแผลแมวต้องนุ่มนวลแต่รัดกุม แมวส่วนใหญ่อาจไม่ให้ความร่วมมือในการทำแผลเท่าสุนัข บางตัวตื่นตกใจและพยายามหนีหรือข่วนเมื่อเจ็บ เจ้าของควรเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อาจขอให้ผู้ช่วยจับแมวหรือใช้ผ้าขนหนูหนาห่อตัวแมวไว้ให้เหลือเฉพาะส่วนที่ต้องทำแผลโผล่ออกมา วิธีนี้จะช่วยป้องกันแมวดิ้นและข่วนได้ดี ทำให้เราทำแผลได้รวดเร็วปลอดภัยขึ้น หลังทำแผลเสร็จอย่าลืมปลอบโยนและให้ขนมหรือคำชมเพื่อให้แมวรู้สึกดีขึ้นด้วย
  • เฝ้าระวังการเกิดฝี ในแมวที่โดนกัด ซึ่งมักเป็นรูเล็กจากเขี้ยวหรือเล็บ แม้รูแผลจะดูเล็ก แต่ แผลลักษณะนี้ในแมวมักกลายเป็นฝีหนอง เพราะเชื้อโรคถูกปิดอยู่ใต้ผิวหนัง หากแผลบวมแดงขึ้น ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์
  • ปลอกคอกันเลียสำคัญมากสำหรับแมว แมวเกือบทุกตัวจะพยายามเลียแผลของตนเองตลอดเวลา แม้เราจะปิดผ้าพันแผลไว้แต่แมวก็อาจกัดผ้าพันแผลออกหรือเลียจนชุ่มได้ ดังนั้นควรใส่ปลอกคอกันเลียให้แมวตลอดช่วงที่มีแผล แมวบางตัวอาจเครียดหรือเดินถอยหลังเมื่อใส่ปลอกคอครั้งแรก ให้เจ้าของใจเย็นๆ และลองเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการเล่นหรือให้ขนม จนกว่าแมวจะยอมรับได้ เพราะการไม่ใส่ปลอกคอมีความเสี่ยงมากที่แมวจะเลียแผลจนติดเชื้อหรือแผลแยกกว้างกว่าเดิม
  • ส้งเกตพฤติกรรมแมว แมวชอบซ่อนความเจ็บปวด เจ้าของแมวควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมแมวขณะมีแผล เพราะแมวมักไม่แสดงความเจ็บชัดเจนเหมือนสุนัข บางตัวแม้เจ็บก็จะนอนนิ่งเฉยๆ หรือแอบซ่อนตัว หากแมวมีอาการซึม ไม่กินอาหาร หรือเลียแผลบ่อยผิดปกติ ต้องเอาใจใส่ให้มาก นั่นคือสัญญาณว่าแผลอาจกำลังติดเชื้อหรือแมวรู้สึกไม่สบาย ควรปรึกษาสัตวแพทย์ถ้าไม่แน่ใจในอาการของแมว

บทสรุปการรักษาแผลสัตว์เลี้ยงให้หายเร็วและปลอดภัย

การดูแลบาดแผลอย่างถูกวิธีมีความสำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยง การรู้จักหลักการปฐมพยาบาล การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เช่น MicrocynAH และการติดตามตรวจแผลอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้สัตว์เลี้ยงหายเร็วและปลอดภัยมากขึ้น

นอกจากนี้ การมีความรู้พื้นฐานยังช่วยให้เจ้าของสามารถแยกแยะได้ว่าแผลลักษณะใดที่สามารถดูแลเองได้ที่บ้าน และเมื่อใดที่ต้องพาไปพบสัตวแพทย์ ความใส่ใจและสม่ำเสมอของเจ้าของคือหัวใจสำคัญ ที่ทำให้บาดแผลของสัตว์เลี้ยงหายเร็วและปลอดภัย อย่าลืมว่าหากเราดูแลแผลได้ดี นอกจากน้องหมาน้องแมวจะไม่ทรมานนานแล้ว ยังลดโอกาสต้องไปหาหมอบ่อยๆ และลดค่าใช้จ่ายการรักษาในระยะยาวด้วย หวังว่าความรู้ที่แบ่งปันมานี้จะช่วยให้ทุกท่านดูแลเจ้าเพื่อนรักสี่ขาของเราเวลาเขามีแผลได้อย่างถูกวิธีและมั่นใจยิ่งขึ้นนะ 🎉