“ขนมแมวเลีย” มีประโยชน์หรือโทษกันแน่นะ
.
วันนี้แอดมินอยากนำเสนอ Content ที่ทาสทั้งหลายน่าจะสงสัยกันอยู่ไม่น้อย
ว่าจริงๆแล้ว “ขนมแมวเลีย” มีประโยชน์จริงไหม? แล้วควรให้ในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะไม่เกิดอันตราย
.
อันดับแรกเรามาทำความรู้จัก “ขนมแมวเลีย” กันก่อนครับ
ขนมแมวเลีย จัดเป็นอาหารว่างอันโปรดปรานของน้องเหมียว ที่ทาสจะเอาไว้ใช้เวลาต้องการความรักจากเจ้านาย
ส่วนประกอบหลักจะคล้ายกับอาหารสำเร็จรูปทั่วไป ได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ยังมีสารสังเคราะห์อื่น ๆ เช่น สารแต่งกลิ่น แต่งรส สารที่ช่วยให้เกิดความคงตัวของอาหาร ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน หากเจ้าเหมียวมีประวัติการแพ้อาหาร ควรให้ความสนใจถึงแหล่งที่มาของสารอาหารนั้น ๆ เช่น ถ้ามีประวัติแพ้ไก่ ต้องดูว่าขนมนี้มีไก่เป็นส่วนประกอบหรือไม่
.
ปริมาณการให้ “ขนมแมวเลีย” ต่อวัน
หลายๆครั้งที่น้องแมว ร้องเรียก เราก็มักจะหยิบขนมแมวเลียป้อนให้น้องๆ ในทันที วิธีนี้อาจจะส่งผลเสียระยะยาว ทำให้น้องเสียนิสัยและยังอาจจะก่อโรคไตในน้องแมวได้หากขนมที่น้องทานในปริมาณมากเกินไป วันนี้เราจะมาแชร์วิธีการคำนวณน้ำหนักและ Cal ที่เหมาะสมให้ทาสได้ไปเลือกใช้กัน
การคำนวณพลังงานที่ต้องการในแต่ละวัน จะเริ่มจากการคำนวณพลังงานที่ต้องการในขณะพัก (Resting Energy Requirement: RER, kcal/day) = 70 x น้ำหนักตัว(kg)0.75 หรือ (30 x น้ำหนักตัว kg) + 70 (ค่าที่ได้จาก 2 สูตรนี้ อาจแตกต่างกันเล็กน้อย)
จากนั้นจึงนำ RER ที่ได้ไปคำนวณพลังงานที่เหมาะสมกับแต่ละตัว (Daily Energy Requirement: DER) ซึ่งเบื้องต้นจะพิจารณาจากอายุ สถานะการทำหมัน พฤติกรรม(ซนหรือนอนเยอะ) ดังนี้
ลูกแมว (วัยกำลังโต) พลังงานที่เหมาะสมคือ 2.5 x RER
แมวโตเต็มวัย ทำหมันแล้ว พลังงานที่เหมาะสมคือ 1.2 x RER
แมวโตเต็มวัย ยังไม่ได้ทำหมัน พลังงานที่เหมาะสมคือ 1.4 x RER
แมวยังไม่อ้วน แต่อ้วนง่าย (เอาแต่นอน ไม่ค่อยออกแรง) พลังงานที่เหมาะสมคือ 1.0 x RER
แมวอ้วนที่ต้องลดน้ำหนัก พลังงานที่เหมาะสมคือ 0.8 x RER
ดังนั้นถ้าต้องการหาปริมาณขนมแมวเลียที่กินได้ต่อวัน จะต้องพิจารณาปริมาณพลังงาน (แคลอรี) ต่อหนึ่งซอง อย่าเพิ่งเชื่อมั่นปริมาณที่ควรบริโภค/วัน ที่ระบุในฉลาก เพราะบางครั้งปริมาณนั้นหมายถึงพลังงานทั้งหมดที่เจ้าเหมียวจะได้รับต่อวัน (คือกินแต่ขนมแมวเลียตามจำนวนที่ระบุ โดยไม่ต้องกินอาหารอื่น พลังงานก็เกือบจะเกินแล้ว)
การให้กินขนมมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำหนักเกินตามมา และจะนำโรคต่าง ๆ มาสู่เจ้าเหมียวมากมาย เช่น เบาหวาน โรคกระดูกและข้อ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคผิวหนัง ไปจนถึงมะเร็งบางชนิด หรือบางรายที่ให้กินขนมแมวเลียบ่อยเกินไป (มากกว่า 2-3 ครั้ง/สัปดาห์) อาจก่อให้เกิดปัญหาเลือกกิน และปฏิเสธอาหารหลัก ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับโภชนาการที่ไม่เหมาะสมตามมา เพราะขนมไม่ใช่อาหารหลัก สิ่งที่ได้จากขนมหรือของว่าง คือความอร่อยและพลังงาน จึงไม่สามารถใช้แทนอาหารหลักได้
.
แล้วเราควรเลือก “ขนมแมวเลีย” ให้กับเจ้านายเรายังไงดีล่ะ?
คำแนะนำในการเลือกซื้อขนมแมวเลีย ควรดูยี่ห้อที่มีการรับรองคุณภาพที่เชื่อถือได้ มีที่มาที่ไปชัดเจน ทั้งผู้ผลิต (หรือผู้จัดจำหน่าย ในกรณีที่เป็นสินค้านำเข้า) วันที่ผลิต วันหมดอายุ มีฉลากแสดงส่วนประกอบ วัตถุดิบหลัก และควรมีปริมาณบอกแคลอรีต่อหนึ่งซอง (เล็ก) ด้วย เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณปริมาณที่เหมาะสม หลังจากน้องเหมียวได้ทดลองกินแล้ว ควรสังเกตด้วยว่า กินน้ำมากเกินปกติหรือไม่ เพราะหากกินน้ำมากขึ้นอย่างชัดเจน อาจเป็นไปได้ว่าขนมนั้นมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างสูง
.
เช่น VF+Core ที่ถูกพัฒนาและปรับสูตรโดยสัตวแพทย์
ที่ได้คัดสรรค์สูตรที่มีประโยชน์ต่อน้องหมาน้องแมวมากที่สุด
มีด้วยกัน 3 สูตรดังนี้
💛 LS: ไลซีน อาหารเสริมสำหรับน้องแมว ช่วยปรับสมดุลทางเดินอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน
❤️ RB: สำหรับน้องหมาน้องแมว ช่วยบำรุงเลือด เสริมให้สุขภาพแข็งแรง
💚 JC: สำหรับน้องหมาน้องแมว (สัตวแพทย์สั่งเท่านั้น) ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ลดอักเสบ ชะลอความเสื่อมของข้อ โดยไม่มีผลข้างเคียง